วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

Liability and Equity Analysis - สรุปความจากหนังสือ Business Analysis & Valuation บทที่ 5

ชื่อเต็มๆคือ Business Analysis & Valuation Using Financial Statements ตำราเทพของอาจารย์Palepu, Healy และ Bernard

เล่มที่อ่านเป็น Second Edition ซึ่งมันก็เก่าประมาณนึงแล้ว (ตอนนี้มันปาไปจะ 5th Edition แล้ว ถ้ามี PDF ก็ขอด้วยนะ จุ้บๆ) เนื้อหาอาจจะไม่อัพเดทบ้างอะไรบ้าง คนสรุปก็ไม่ได้เก่งบัญชี ผิดพลาดคลาดเคลื่อนประการใดก็ช่วยชี้แนะด้วยนะคร้าบ

บทนี้อธิบายเรื่องการทำ Accounting Analysis ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหนี้สินและส่วนทุน(equity หรือเรียกภาษาไทยยาวๆว่าส่วนของผู้ถือหุ้น แต่เนื่องจากมันยาว พิมพ์ยาก ขอเรียกสั้นๆว่าส่วนทุน) ที่รวมเอาส่วนทุนมารวมในบทนี้ก็เพราะว่ามันคือสินทรัพย์ลบหนี้สินนั่นเองงงงงง คาดว่าจารย์Palepuจะตั้งเป็นอีกบทก็ขี้เกียจ เลยรวมๆกันมาอย่างเนี้ยแหละ ประหนึ่งว่าเป็นของแถม (ทั้งหมดนี้มโนล้วนๆ)
liability หรือภาษาบ้านเราเรียกง่ายๆว่าหนี้ หนี้ตรงข้ามกับสินทรัพย์ เพราะว่าสินทรัพย์คือจ่ายตังค์แล้วแต่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ ส่วนหนี้สินคือใช้ประโยชน์ไปแล้วแต่ยังไม่ได้จ่ายตังค์ เหมือนเดิมนะครับ เราจะสรุปแบบย่อๆเนื่องจากว่ารายละเอียดปลีกย่อยขึ้นกับการลงบัญชีของแต่ละประเทศและแต่ละช่วงเวลากฏเกณฑ์มันก็เปลี่ยนไป (และเหตุผลหลักคือคนสรุปก็ไม่ได้แม่นเรื่องบัญชีเท่าไหร่นักและขี้เกียจด้วย)

เกณฑ์ที่เราจะถือว่าอะไรซักอย่างนึงเป็นหนี้สินของบริษัทมี 2 ข้อคือ
(1)     ฉันต้องแน่ใจจริงๆว่าฉันต้องจ่าย
(2)     ฉันต้องประมาณได้ว่าฉันต้องจ่ายเท่าไหร่และเมื่อไหร่

ทีนี้ปัญหามันจะเกิดก็ต่อเมื่อบริษัทเกิดอาการงงๆ เริ่มตีมึนว่า
(1)     ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่านี่ฉันต้องจ่ายเธอจริงๆหรือเนี่ย หรือถามแบบบัญชี้บัญชีก็คงประมาณว่า ฉันต้องตั้งหนี้จริงๆหรือ ตัวอย่างเช่น
o   ค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างองค์กร(restructuring reserve) จะต้องตั้งหนี้เมื่อไหร่ เมื่อประกาศออกมาเหรอ (แต่สุดท้ายอาจจะไม่ได้ปรับโครงสร้างตามที่โม้ไว้ก็ได้นา)
o   อีกตัวอย่างนึงคือเรื่องโปรแกรมสะสมไมล์ของสายการบิน ที่จะมีคำถามว่า บริษัทต้องตั้งหนี้สำหรับไมล์ที่ลูกค้าสะสมได้หรือเปล่า เพราะลูกค้าบางส่วน(ซึ่งรวมข้าเจ้าด้วย ไม่เคยแลกเลยแม้ซักครั้งในชีวิต เพราะสะสมไม่ถึงเป้า)ก็อาจจะไม่ได้เอาไมล์นั้นมาแลกเป็นเที่ยวบินฟรี หรือถึงอยากแลกก็อาจจะแลกไม่ได้เพราะไม่มีเที่ยวบินที่อยากไป(อันนี้ไม่รู้ ไม่เคยใช้) และสายการบินก็มีสิทธิ์เปลี่ยนโปรโมชั่นเมื่อไหร่ยังไงก็ได้ด้วย แต่ไอ้ครั้นจะไม่ตั้งหนี้เลย ก็จะเป็นที่ครหาว่างบการเงินไม่สะท้อนต้นทุนของบริษัทในการทำโปรโมชั่นอีก
o   คดีฟ้องร้องก็เป็นอีกตัวอย่างนึงว่าบริษัทต้องตั้งหนี้รอไว้สำหรับการเรียกร้องค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะถ้าตั้งหนี้ก็อาจจะถูกมองว่าบริษัทยอมรับผิดกลายๆ แล้วพาลจะส่งผลต่อรูปคดีหรือเปล่า แต่ก็อีกแหละ จะไม่ตั้งหนี้เลยก็จะไม่สะท้อนความเสี่ยงของบริษัทในงบการเงินอีก (ส่วนใหญ่คงบอกในหมายเหตุประกอบงบละมั้ง)

(2)     ฉันก็ยังงงๆว่าแล้วฉันต้องจ่ายเธอเท่าไหร่เมื่อไหร่เนี่ย
o   อย่างพวกค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม(environmental liabilities ซึ่งเมืองไทยคงไม่มีวันจะมีรายการนี้) ซึ่งค่าใช้จ่ายมันขึ้นกับว่า สิ่งแวดล้อมนั้นเสียหายแค่ไหน จะใช้วิธีไหนในการฟื้นฟู แล้วบริษัทมีเอี่ยวกะเค้าแค่ไหน แล้วสรุปว่าบริษัทควรจะตั้งหนี้เมื่อไหร่เท่าไหร่ล่ะ
o   หรือสวัสดิการพนักงานประเภทเงินที่ต้องจ่ายตอนพนักงานเกษียณ พวกกองทุนสมทบไรงี้ การจะประมาณการค่าใช้จ่ายมันขึ้นกับหลายๆปัจจัย เช่นว่า พนักงานจะอยู่กับบริษัทอีกนานแค่ไหน เงินเดือนสุดท้ายจะเป็นเท่าไหร่ แล้วกองทุนจะทำกำไรได้แค่ไหน (หักเงินเกษียณแล้วจะเหลือเป็นหนี้อีกเท่าไหร่) แล้วจะคิดอัตราลดเป็น present value เท่าไหร่ เป็นต้น ตัวเลขทั้งหมดนี้เดากันล้วนๆ
o   อีกตัวอย่างนึงก็พวก loss reserve ของเงินประกัน อันนี้ก็เดาเอาจากตัวเลขในอดีตเหมือนกันว่ามันน่าจะประมาณเท่านั้นเท่านี้ ส่วนเรื่องความคลาดเคลื่อนโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่จะว่ากันไป
o   อันสุดท้ายพวกค่าใช้จ่ายในการรับประกันสินค้า อย่างพวกบริษัทรถที่เรียกคืนรถรุ่นนั้นรุ่นนี้เนื่องจากอุปกรณ์โน่นนี่นั่นอาจมีปัญหาระเบิดไฟลุกท่วมในวันโลกาวินาศเมื่อดาวศุกร์โคจรมาซ้อนกับดวงจันทร์ในระนาบเดียวกัน(ว่าไปนั่น) ค่าใช้จ่ายพวกนี้ก็ต้องประมาณการจากตัวเลขในอดีตเหมือนกัน หรือถ้ามั่นใจว่าคุณภาพสินค้าดีขึ้นก็อาจจะตั้งหนี้น้อยลงก็ได้

(3)     เอ๊ะ หรือมูลค่าหนี้ของฉันมันเปลี่ยนไปแล้วละเนี่ย
เช่นพวกที่มีการปรับโครงสร้างหนี้เป็นต้น
เป็นอันว่าจบในส่วนของ liability และเราจะต่อกันสั้นๆในส่วนของ equity หรือส่วนทุน ซึ่งได้มาจากสินทรัพย์ลบหนี้สินนั่นเอง มันน่าจะง่ายถ้าเราวิเคราะห์งบเรื่องสินทรัพย์กับหนี้สิน ปัญหาความน่าเชื่อถือหรือความเสี่ยงใดๆที่เกิดกับงบส่วนสินทรัพย์และหนี้สินก็จะส่งผลถึงส่วนทุนทางอ้อมนั่นแหละ (เพราะมันเอามาคำนวณหาส่วนทุน) แต่มันก็ยังมีประเด็นเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับส่วนทุนอีก เช่น
(1)     อะไรที่มันเป็นลูกครึ่งหนี้ครึ่งทุน(hybrid securities) เช่น หุ้นกู้แปลงสภาพ (convertible debt) ซึ่งเป็นการให้กู้เงินแบบที่สามารถแปลงเงินกู้เป็นหุ้นได้ ในทางทฤษฎีแล้ว เราสามารถแบ่งหุ้นกู้แปลงสภาพออกมาเป็นส่วนที่เป็นหนี้กับส่วนที่เป็นทุนได้ล่ะ(ซึ่งแปลว่าคนสรุปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำยังไง) แต่ในทางบัญชีบังคับให้ลงเป็นหนี้สินเท่านั้น(ปานประหนึ่งว่ามันแปลงสภาพไม่ได้)
(2)     unrealized gains and losses หรือกำไรที่ได้จากเงินลงทุนแต่ยังไม่ได้เห็นเป็นเงินสดจะบันทึกเป็นกำไรในงบกำไรขาดทุนหรือเปล่า หรือจะไปเพิ่มที่ส่วนทุนเลยโดยไม่ผ่านงบกำไรขาดทุน อันนี้ก็มีเกณฑ์ทางบัญชีกำกับอยู่ว่าต้องลงแบบไหน

จบบทที่ห้าแค่นี้แหละครับ เจอกันครั้งหน้าเรื่อง Revenue Analysis เลยนะฮ้าฟ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น