เล่มที่อ่านเป็น Second Edition ซึ่งมันก็เก่าประมาณนึงแล้ว (ตอนนี้มันปาไปจะ 5th Edition แล้ว ถ้ามี PDF ก็ขอด้วยนะ จุ้บๆ) เนื้อหาอาจจะไม่อัพเดทบ้างอะไรบ้าง คนสรุปก็ไม่ได้เก่งบัญชี ผิดพลาดคลาดเคลื่อนประการใดก็ช่วยชี้แนะด้วยนะคร้าบ
บทนี้อธิบายเพิ่มเติมเรื่องการทำAccounting Analysis ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ asset หรือเรียกเป็นภาษาไทยๆว่าสินทรัพย์ โดยเราจะสรุปแบบย่อๆเนื่องจากว่ารายละเอียดปลีกย่อยขึ้นกับการลงบัญชีของแต่ละประเทศและแต่ละช่วงเวลากฏเกณฑ์มันก็เปลี่ยนไป(และเหตุผลหลักคือคนสรุปก็ไม่ได้แม่นเรื่องบัญชีเท่าไหร่นัก)
เกณฑ์ที่เราจะถือว่าอะไรซักอย่างนึงเป็นสินทรัพย์ของบริษัทมี 3 ข้อคือ
(1)
มันต้องเป็นของบริษัทจริงๆนะเว้ย
(ห้ามไปมั่วนิ่มเอาของคนอื่นมาลงบัญชี)
(2)
มันต้องใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาวจริงๆนะเว้ย
(3)
ประโยชน์ใช้สอยของมันในระยะยาวต้องประเมินเป็นมูลค่าได้นะเว้ย
การตีมูลค่าของสินทรัพย์
เราจะใช้ราคาในอดีต(historical
cost) หรือมูลค่ายุติธรรม(fair value)แล้วแต่ว่าอันไหนน้อยกว่า(หรือพูดสั้นๆว่าconservativeไว้ก่อน)
ปัญหาที่เรามักจะเจอในงบส่วนที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ก็มีเท่ากับเกณฑ์
3 ข้อข้างบนนั่นแหละ
อันได้แก่
(1)
ใครเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นกันแน่
ตัวอย่างเช่น
-
สินทรัพย์ที่เช่าเค้ามา
(leased asset) จะถือว่าใครเป็นเจ้าของกันแน่ระหว่างคนให้เช่ากับคนเช่า
เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
o
Capital
Lease จะถือว่าสินทรัพย์นั้นเป็นของบริษัทผู้เช่า
และตั้งเป็นหนี้สินเท่าๆกัน ซึ่งสินทรัพย์นั้นก็จะถูกตัดค่าเสื่อมไปตามปกติ
ส่วนค่าเช่าก็ถูกคิดเป็นดอกเบี้ยและเงินต้นที่จ่ายคืน
o
Operating
Lease จะถือว่าสินทรัพย์นั้นยังคงเป็นของบริษัทผู้ปล่อยเช่า
เราก็จะมองว่าค่าเช่านั้นเป็นค่าใช้จ่าย
แน่นอนว่าเราย่อมอยากจะทำให้มันเป็น operating lease สินะ เพราะจะทำให้ asset เราต่ำๆ (ROA ก็จะสูง) หนี้เราก็ต่ำ (D/E ก็จะต่ำ) แต่มันก็จะมีกฏบังคับอยู่ว่าถ้าตรงตามเงื่อนไขแล้วให้ถือเป็น Capital
Lease นะ(แต่ไม่ลงรายละเอียดนะครับ ไปหาดูเอาเอง)
-
ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงาน
เราก็สามารถคิดได้ว่า ไอ้ที่อบรมพนักงานไปนั้น พนักงานนิสัยดีขึ้นทำงานเก่งขึ้นก็ย่อมเป็นประโยชน์กับบริษัท(ถ้ามันไม่ชิงลาออกไปซะก่อน)
ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการทำ training
ก็น่าจะคิดเป็นสินทรัพย์ได้เหมือนกันถ้าจะคิด (แค่คิดเล่นๆ เพราะยังไงเกณฑ์บัญชีบังคับว่าเป็นค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว
(อาจจะด้วยว่ามันประเมินเป็นมูลค่าได้ยากด้วยหรือเปล่า)
(2)
สินทรัพย์นั้นยังคงใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาวจริงเหรอ
ถ้าเป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตนอย่างพวกเครื่องจักร
โต๊ะเก้าอี้ เราก็รู้ว่ามันใช้งานได้ มันมีประโยชน์อยู่ แต่สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้อย่างเช่นค่าความนิยม
ค่าmarketing ค่าวิจัยต่างๆ บางที่เราก็ไม่ค่อยชัวร์นะว่ามันจะมีประโยชน์จริงเหรอ
ตัวอย่างเช่น
-
มูลค่าของแบรนด์
โดยปกติทั่วไปแล้วค่าโฆษณา ค่าการตลาด ต้นทุนในการลดแลกแจกแถมทั้งหลาย
จะถูกมองเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่เนื่องจากมันเอาไปสร้างแบรนด์(ที่ไม่ใช่รังนกหรือซุปไก่
แต่แปลเป็นไทยปนจีนว่ายี่ห้อ) ซึ่งมันก็มีประโยชน์ในระยะยาวเหมือนกัน
เช่นทำให้ตั้งราคาสินค้าได้แพงๆ ทำให้ขายได้ง่าย เอาไปบีบซัพพลายเออร์ได้ เป็นต้น
ดังนั้น ค่าใช้จ่ายพวกนั้นมันก็ควรจะมองเป็นสินทรัพย์ได้สิ
แต่เนื่องจากมันประเมินมูลค่าของแบรนด์ได้ยาก
ส่วนใหญ่เค้าก็จะไม่ให้คิดว่าแบรนด์เป็นสินทรัพย์
ยกเว้นบางประเทศเช่นออสเตรเลียหรืออังกฤษ
อนุญาตให้ประเมินมูลค่าของแบรนด์มาใส่เป็นสินทรัพย์ได้…จริงหรือเปล่าไม่รู้
หนังสือว่าไว้อย่างนั้น
-
ค่าความนิยม(goodwill) ซึ่งใหม่ๆก็งงเต๊กว่าไอ้นี่คืออะไร
มันคือส่วนต่างที่เกิดขึ้นตอนเราไปซื้อบริษัทอื่นมาสูงกว่ามูลค่าที่มันควรจะเป็นนั่นเอง
อย่างเช่น เราประเมินมูลค่าแฟนเราว่าน่าจะขายได้ซักแสนนึง
แต่จ่ายค่าสินสอดไปซะล้านนึง(เนื่องจากไปทำเค้าท้องแล้วบังเอิญว่าพ่อตาดุถือปืนจ่อหัวอยู่ไรงี้
พล็อตน้ำเน่าเกิ๊น) ก็จะเกิดค่าความนิยมขึ้น9แสน
ซึ่งเราก็จะตัดค่าเสื่อมตามอายุการใช้งาน (เค้าว่ากันว่าแก่ง่ายตายยากซะด้วย
อาจจะต้องตัดค่าเสื่อมซัก60ปี หรือเราอาจจะตายก่อน) ประเด็นที่ต้องระวังคือ
(1) บริษัทจ่ายแพงเกินกว่าที่ควรจะเป็นหรือเปล่า และ (2)
อายุการใช้งานที่เรามั่วๆกันขึ้นมา(สูงสุดไม่เกิน40ปี ยังคงเป็นงั้นอยู่ใช่มั้ย)นั้นเหมาะสมจริงหรือ
-
Deferred
tax คือในกรณีที่มีขาดทุนสะสมและสามารถเอาขาดทุนสะสมนั้นมาลดหย่อนภาษีได้
เราก็สามารถมองได้ว่าไอ้เจ้าก้อนขาดทุนสะสมนั้นเป็นสินทรัพย์ได้เหมือนกัน แต่ปัญหาคือ
ภาษีมันจะเกิดมีได้ก็ต่อเมื่อบริษัทสามารถทำกำไรได้
แล้วเมื่อไหร่ล่ะที่บริษัทจะทำกำไรได้
(โดยเฉพาะบริษัทเกิดใหม่ที่ยังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะพลิกจากขาดทุนเป็นกำไรได้เมื่อไหร่)
สรุปคือชะตาชีวิตของไอ้เจ้าก้อนอะไรซักอย่างที่เราจ่ายตังค์ไปซื้อมานั้นมีได้3กรณีคือ
(1) ตั้งเป็นค่าใช้จ่ายทั้งก้อน(อย่างค่าโฆษณา แกไม่มีทางเลือก
เกณฑ์บัญชีเค้าบังคับมางี้)
(2) ตั้งเป็นสินทรัพย์ทั้งก้อน(อย่างค่าความนิยม)แล้วตัดค่าเสื่อมเอา
หรือ
(3)
ตั้งเป็นสินทรัพย์มีมูลค่าตามความเหมาะสม(อย่างเช่น deferred tax) ดังนี้แล
(3)
มูลค่ามันอาจจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า
ภาษาหรูๆก็ต้องเรียกว่า มันเกิดการด้อยค่าหรือเปล่า สังเกตว่าด้อยค่าได้
แต่มีมูลค่าสูงเกินกว่า historical
cost ไม่ได้ เพราะเราคอน/เซอ/เว/ติ้ด/ซึ่ม
(conservatism) ตัวอย่างในกรณีนี้ก็เช่น
-
สินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินงาน(operating asset)ทั้งหลาย
เช่น ลูกหนี้(มันจะชักดาบหรือเปล่า) สินค้าคงเหลือ(มันจะขายไม่ออกหรือเปล่า)
หรือเครื่องจักรทั้งหลาย(มันจะล้าสมัยจนผลิตอะไรก็ขายใครไม่ได้แล้วหรือเปล่า)
-
financial
instrument ทั้งหลายเช่นพวกพันธบัตร หุ้นกู้ เงินลงทุนในบริษัทร่วม
หุ้นที่ไปลงทุนเอาไว้
-
มูลค่าของบริษัทย่อยในต่างประเทศ
ปิดท้ายด้วยประเด็นที่มักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับสินทรัพย์
อย่างเช่น
(1)
ถ้าจ่ายตังค์ซื้อมาแล้วต้องคิดเป็นสินทรัพย์เสมอ
ไม่จริงนะเธอ
ถ้าซื้อขี้มาแล้วใช้ไม่ได้ ขี้ก็คือขี้ ไม่ใช่สินทรัพย์นะเธอ
(2) ถ้าจับต้องไม่ได้ ไม่คิดเป็นสินทรัพย์
ไม่จริงนะเธอ
แบรนด์ของโค้กมันเป็นสินทรัพย์แน่ๆ แต่อาจจะวัดมูลค่าทางบัญชีได้ยากหน่อย
แต่มันก็เป็นสินทรัพย์นะเธอ
(3) ถ้าซื้อมาคิดเป็นสินทรัพย์ ถ้าสร้างเองไม่คิด
อันนี้ดูจะเกี่ยวกับพวกงานวิจัย
คือประมาณว่า ถ้าซื้องานวิจัยมาแสดงว่ามันคงใช้ได้จริงแน่ๆเลยมองเป็นสินทรัพย์
แต่ถ้าพัฒนาเองมันถูกตัดเป็นค่าใช้จ่ายไปตั้งนานแล้วเลยไม่รู้จะคิดเป็นสินทรัพย์ยังไง
ซึ่งประเด็นมันคงไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่น่าจะอยู่ที่ว่า
งานวิจัยนั้นๆมันเกิดประโยชน์จริงหรือเปล่า
(4) ราคาตลาดสำคัญเฉพาะสินทรัพย์ที่ตั้งใจจะขาย
เป็นอันว่าจบบทที่สี่แค่นี้ เจอกันครั้งหน้าเป็นบทที่ห้า เรื่อง Liability & Equity Analysis เลยนะฮ้าฟ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น